ถ้าคุณเคยลองสัมผัสกับขนมหวานที่มีความพิเศษและแตกต่างจากที่คุณเคยรู้จัก คุณจะต้องตกหลุมรักขนมไทยจากภาคอีสานอย่างแน่นอน ขนมที่เต็มไปด้วยรสชาติและกลิ่นหอมที่แสดงถึงความเรียบง่ายและความกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกถึงวิถีชีวิตของชาวอีสานได้อย่างแท้จริง
ในภูมิภาคนี้ ขนมหวานมักจะถูกสร้างสรรค์จากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายจากท้องถิ่น เช่น ข้าวเหนียว มะพร้าว และน้ำตาลอ้อย โดยใช้เทคนิคการทำที่ไม่ซับซ้อน แต่กลับสามารถสร้างรสชาติและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนมไทยภาคอีสานจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ของหวาน แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดมานาน
จากข้าวโป่งที่มีความกรอบและหวานมัน ไปจนถึงข้าวต้มมัดที่ห่อด้วยใบตองและต้มจนสุก ขนมกระยาสารทที่กรอบหอมไปด้วยน้ำตาลอ้อย และขนมมะพร้าวแก้วที่มีความเหนียวจากมะพร้าวขูด ทุกชิ้นขนมล้วนบอกเล่าเรื่องราวของภูมิภาคอีสานและทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสวยงามของที่นี่
ข้าวโป่ง
วัตถุดิบ
- ข้าวเหนียวสุก: 2 ถ้วย
- น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วย
- ไข่ไก่ต้มสุก: 2 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
- น้ำมันหมู: 2 ช้อนโต๊ะ
- งาดำ: 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
- เตรียมข้าวเหนียว: ใช้ครกกระเดื่องตำข้าวเหนียวสุกให้ละเอียด ผสมกับน้ำตาลทรายและงาดำ ตำจนข้าวเหนียวและน้ำตาลเข้ากันดี
- เตรียมไข่แดง: ผสมไข่แดงต้มสุกกับน้ำมันหมูให้เข้ากัน
- จัดรูปทรง: ใช้พลาสติกห่อไข่แดงที่ผสมแล้ว ทาบาง ๆ บนแผ่นพลาสติก นำแป้งข้าวเหนียวที่เตรียมไว้ปั้นเป็นลูกกลม วางลงบนพลาสติกแล้วใช้ไม้รีดให้แบน
- ตากแห้ง: ผึ่งแดดประมาณ 1 วันจนแห้ง
- ย่าง: ย่างด้วยไฟอ่อน ๆ จนแป้งข้าวโป่งพองออก และมีสีบรอนซ์อ่อน
ข้าวต้มมัด
วัตถุดิบ
- ข้าวเหนียว: 1/2 กิโลกรัม
- หัวกะทิ: 1/2 กิโลกรัม
- หางกะทิ: 1 กิโลกรัม
- น้ำตาลทราย: 1/2 กิโลกรัม
- เกลือ: 1 ช้อนชา
- กล้วยน้ำว้า: 1/2 ลูก (สำหรับไส้)
- ถั่วดำต้มสุก: 2 ถ้วย
- ใบตอง: สำหรับห่อ
- ตอก: สำหรับมัด
วิธีทำ
- แช่ข้าวเหนียว: แช่ข้าวเหนียวในน้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- กวนข้าวเหนียว: ใส่หางกะทิลงในกระทะ ใส่ข้าวเหนียว เกลือ และน้ำตาล 1/3 ของทั้งหมด กวนจนเริ่มแห้ง
- เพิ่มหัวกะทิ: ใส่หัวกะทิและน้ำตาลที่เหลือลงไป กวนจนข้าวเหนียวเริ่มบาน
- ห่อและนึ่ง: ตักข้าวเหนียวลงบนใบตอง วางกล้วยน้ำว้ากลางข้าวเหนียว แล้วห่อด้วยใบตอง มัดด้วยตอก นึ่งประมาณ 1 1/2 ชั่วโมง
ขนมกระยาสารท
วัตถุดิบ
- น้ำตาลอ้อยหรือน้ำตาลมะพร้าว: 1 ถ้วย
- หัวกะทิ: 1 ถ้วย
- แบะแซ: 1 ช้อนโต๊ะ
- ข้าวเม่าราง: 1 1/2 ถ้วย
- ข้าวตอกคั่วกรอบ: 1 1/2 ถ้วย
- งาขาวหรือดำคั่ว: 1 1/2 ถ้วย
- ถั่วลิสงคั่ว: 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
- เคี่ยวน้ำตาล: เคี่ยวน้ำตาลกับหัวกะทิด้วยไฟกลางจนเป็นยางมะตูม
- ผสมส่วนผสม: ใส่แบะแซและส่วนผสมคั่วทั้งหมดลงในน้ำตาล คนให้เข้ากัน
- ปั้นหรือเทใส่ถาด: ปั้นเป็นก้อนขนาด 2 เซนติเมตร หรือเทใส่ถาดเกลี่ยให้แบน ทิ้งให้เย็นแล้วตัดเป็นชิ้น
ขนมมะพร้าวแก้ว
วัตถุดิบ
- มะพร้าวขูดเป็นเส้น: 3 ถ้วย
- น้ำตาลทราย: 1 ถ้วย
- น้ำลอยดอกมะลิ: 1/2 ถ้วย
- เกลือป่น: 1/2 ช้อนชา
- สีผสมอาหาร: ตามชอบ
วิธีทำ
- เตรียมน้ำเชื่อม: ผสมน้ำตาลทรายและน้ำลอยดอกมะลิในกระทะ เคี่ยวจนละลายและเหนียว
- เพิ่มสี: เติมสีผสมอาหารตามต้องการ
- เชื่อมมะพร้าว: ใส่มะพร้าวขูดลงในน้ำเชื่อม คนให้ทั่วจนเหนียว
- จัดรูปทรง: ตักมะพร้าวเชื่อมวางบนถาดจัดรูปทรงให้กลมแล้วผึ่งแดดจนแห้ง
ขนมกาละแม
วัตถุดิบ
- แป้งข้าวเหนียว: 1 ถ้วย
- น้ำกะทิ: 5 ถ้วย
- น้ำตาลโตนด: 1 1/2 ถ้วย
- น้ำมันพืช: 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
- ทำกะทิ: นำกะทิไปตั้งไฟกลาง ใส่น้ำตาลและแป้งข้าวเหนียว กวนจนเหนียว
- เทใส่ถาด: เทใส่ถาดที่เตรียมไว้ พักให้เย็น
- ตัดเป็นชิ้น: ทาน้ำมันพืชบาง ๆ แล้วตัดเป็นชิ้นตามต้องการ
ขนมนางเล็ดหรือข้าวแต๋น
วัตถุดิบ
- ข้าวเหนียว: 300 กรัม
- น้ำตาลทราย: 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ: 1/4 ช้อนชา
- น้ำแตงโม: 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสะอาด: 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้ง: 1 ช้อนชา
- น้ำตาลปึก: 2 ก้อน
วิธีทำ
- นึ่งข้าวเหนียว: แช่ข้าวเหนียวในน้ำร้อน 1-2 ชั่วโมง แล้วนำไปนึ่งจนสุก
- ทำส่วนผสม: ผสมน้ำแตงโม, น้ำตาลทราย, และเกลือ คนให้เข้ากัน
- ปั้นและอบ: ปั้นข้าวเหนียวให้เป็นแผ่นบาง ๆ อบในเตาอบที่ 80°C ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนแห้ง
- ทอดและโรยน้ำตาล: ทอดในน้ำมันร้อนจนพองกรอบ แล้วโรยด้วยน้ำตาลที่ผสมกับน้ำผึ้ง
ขนมข้าวเหนี่ยวปิ้ง
อัตราส่วนข้าวเหนียวมูน
- ข้าวเหนียวใหม่ 1 กก.
- หัวกะทิ 600 กรัม
- น้ำตาลทรายขาว 350 กรัม
- เกลือสมุทร 2 ชช.
วิธีทำข้าวเหนียวมูน
- ล้างข้าวเหนียวใหม่ให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำประมาณ 4-6 ชั่วโมง
- นึ่งข้าวเหนียวจนสุกโดยใช้ไฟปานกลาง
- ผสมหัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือสมุทรในหม้อ ตั้งไฟอ่อน คนจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี
- นำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วใส่ลงในส่วนผสมกะทิ คนให้เข้ากัน ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เพื่อให้ข้าวเหนียวซึมซับน้ำกะทิ
อัตราส่วนไส้เผือกกวน
- เผือกหั่นเต๋า 500 กรัม (น้ำหนักก่อนนึ่ง)
- หัวกะทิ 300 กรัม
- น้ำตาลมะพร้าว 160 กรัม
- เกลือป่น 1/2 ชช. (เกลือปรุงทิพย์)
วิธีทำไส้เผือกกวน
- นึ่งเผือกที่หั่นเต๋าไว้จนสุกและนุ่ม
- นำเผือกนึ่งสุกมาบดละเอียด
- ตั้งหม้อ ใส่หัวกะทิ น้ำตาลมะพร้าว และเกลือป่น ใช้ไฟอ่อน คนจนน้ำตาลละลาย
- ใส่เผือกบดลงไป กวนจนส่วนผสมแห้งและเหนียว ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น
อัตราส่วนไส้กุ้ง
- หัวกะทิ 90 กรัม (ใช้น้ำมันพืชแทนได้ 2-3 ชต.)
- รากผักชี 3 ราก
- กระเทียมไทย 1 ชต.
- พริกไทยขาวเม็ด 1 ชช.
- เนื้อกุ้งสับละเอียด 180 กรัม
- น้ำตาลทรายขาว 50 กรัม
- เกลือสมุทร 6 กรัม
- มะพร้าวขูดขาว 120 กรัม
- ใบมะกรูดหั่นฝอย 5 ใบ
- สีผสมอาหารสีส้ม 1 ชช.
วิธีทำไส้กุ้ง
- โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเม็ดจนละเอียด
- ตั้งหม้อ ใส่หัวกะทิหรือน้ำมันพืชลงไป ใช้ไฟปานกลาง ใส่ส่วนผสมที่โขลกลงไปผัดจนหอม
- ใส่เนื้อกุ้งสับละเอียดลงไปผัดจนสุก
- ใส่น้ำตาลทรายขาว เกลือสมุทร มะพร้าวขูดขาว และใบมะกรูดหั่นฝอย คนให้เข้ากัน
- เติมสีผสมอาหารสีส้มลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันดี ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น
การห่อขนมข้าวเหนียวปิ้ง
- นำใบตองมาทำความสะอาด และตัดให้ได้ขนาดที่เหมาะสม
- วางข้าวเหนียวมูนลงบนใบตอง ใส่ไส้เผือกกวนหรือไส้กุ้งที่เตรียมไว้ตรงกลาง
- ห่อใบตองให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมหรือทรงกระบอกตามต้องการ
- นำไปปิ้งบนเตาถ่าน ใช้ไฟอ่อนจนใบตองเริ่มเกรียมและมีกลิ่นหอม พร้อมเสิร์ฟ
ขนมข้าวจี่
ส่วนผสมข้าวจี่
- ข้าวสารเหนียว (ข้าวเหนียวใหม่) 1 กิโลกรัม
- กะทิ 16-18 ช้อนแกง
- ไข่เป็ด 6 ฟอง
- ผงปรุงรส 3 ช้อนชา
- ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนแกงพูนๆ
ส่วนผสมน้ำกะทิ
- กะทิ 250 มิลลิลิตร
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำข้าวจี่
- เตรียมข้าวเหนียว: ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด แช่ในน้ำประมาณ 4-6 ชั่วโมง แล้วนำไปนึ่งจนสุก
- ผสมข้าวจี่:
- นำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วใส่ในอ่างผสม
- เติมกะทิ 16-18 ช้อนแกงลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- เติมผงปรุงรสและซีอิ๊วขาว คนให้เข้ากันทั่วข้าวเหนียว
- เตรียมไข่:
- ตีไข่เป็ด 6 ฟองในชามจนเข้ากันดี
- นำข้าวเหนียวที่ผสมแล้วมาปั้นเป็นก้อนกลมหรือรีตามต้องการ แล้วชุบลงในไข่ที่ตีไว้
- ย่างข้าวจี่:
- นำข้าวจี่ที่ชุบไข่แล้ววางบนเตาถ่าน ใช้ไฟอ่อน ย่างจนข้าวจี่สุกเหลืองและมีกลิ่นหอมจากทั้งสองด้าน
- ระหว่างย่าง ให้ทาน้ำกะทิที่ผสมกับเกลือป่นบนข้าวจี่เป็นระยะ เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติ
- เสิร์ฟ: ข้าวจี่ที่ย่างเสร็จแล้วสามารถเสิร์ฟร้อนๆ เป็นอาหารว่างหรืออาหารเช้าก็ได้
ขนมดอกจอก
ส่วนผสม:
- แป้งข้าวเจ้า 120 กรัม
- แป้งมัน 120 กรัม
- แป้งสาลี 60 กรัม
- น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม (สามารถเพิ่มตามชอบ)
- น้ำปูนใส 180 กรัม
- หัวกะทิและหางกะทิ 150 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง (เบอร์ 2)
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- น้ำมันสำหรับทอด
วิธีทำ:
- ผสมส่วนผสมแห้ง: ร่อนแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งสาลีเข้าด้วยกันในชามผสม แล้วเติมเกลือคนให้เข้ากัน
- เตรียมส่วนผสมของเหลว: ใส่น้ำปูนใส หัวกะทิ หางกะทิ และไข่ไก่ลงในชามผสมอีกใบ ตีให้เข้ากัน
- ผสมแป้งและของเหลว: เทส่วนผสมของเหลวลงในชามที่มีแป้งทีละน้อยๆ แล้วคนให้เข้ากันดี จนแป้งไม่เป็นก้อนและเนื้อเนียน
- ปรับรสหวาน: เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปในแป้ง คนให้เข้ากันดี ถ้าต้องการหวานมากขึ้นสามารถเพิ่มน้ำตาลได้ตามความชอบ
- ตั้งพิมพ์ให้ร้อน: นำพิมพ์ดอกจอกที่เตรียมไว้จุ่มลงไปในน้ำมันที่ตั้งไฟจนร้อนแล้ว พิมพ์ต้องร้อนก่อนจุ่มลงในแป้ง เพื่อให้ขนมติดพิมพ์
- ทอดขนมดอกจอก: จุ่มพิมพ์ที่ร้อนแล้วลงในแป้งที่ผสมไว้ (ไม่ควรจุ่มจนมิดพิมพ์) แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนจนขนมเป็นสีเหลืองกรอบ จากนั้นนำออกมาสะเด็ดน้ำมัน
- จัดเสิร์ฟ: หลังจากทอดขนมเสร็จแล้ว วางขนมดอกจอกบนกระดาษซับน้ำมัน แล้วจัดเสิร์ฟ
เคล็ดลับ: หากต้องการให้ขนมดอกจอกกรอบนาน ควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทเมื่อเย็นแล้ว
กล้วยสุกทอด
ส่วนผสม:
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ตราว่าว) 1/2 ถ้วยตวง (หรือยี่ห้ออื่นได้)
- แป้งทอดกรอบ (ตราครัวทิพย์) 1 ถ้วยตวง (หรือยี่ห้ออื่นได้)
- แป้งข้าวเจ้า (ตราชาววัง) 1 ถ้วยตวง (หรือยี่ห้ออื่นได้)
- ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วยตวง (หวานกำลังพอดี)
- เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปูนใส 1/3 ถ้วยตวง
- กะทิ (ตราอร่อยดี) 330 มิลลิลิตร (หรือยี่ห้ออื่นได้)
- งาขาว 1/4 ถ้วยตวง (สามารถปรับเพิ่มได้ตามชอบ)
- กล้วยน้ำว้า 2 หวี (ถ้าชอบเนื้อกรอบเลือกกล้วยห่าน ถ้าชอบเนื้อนิ่มเลือกกล้วยสุก)
วิธีทำ:
- เตรียมส่วนผสมแป้ง:
- ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งทอดกรอบ และแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกันในชามขนาดใหญ่
- เติมผงฟูลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
- ปรุงรสแป้ง:
- ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงในชามแป้งที่ผสมไว้ คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี
- เติมน้ำปูนใสและกะทิลงไปในแป้ง ค่อยๆ คนให้ส่วนผสมเนียน ไม่เป็นก้อน
- เตรียมกล้วย:
- ปอกกล้วยน้ำว้าและหั่นเป็นชิ้นตามชอบ (บางคนชอบหั่นแว่น บางคนชอบหั่นตามยาว)
- ทอดกล้วย:
- ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนปานกลาง
- จุ่มกล้วยที่เตรียมไว้ลงในแป้งที่ผสม แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนจนกล้วยมีสีเหลืองกรอบ
- ใส่กล้วยลงในกระทะทีละชิ้น อย่าทอดทีละมากเกินไปเพื่อให้กรอบเท่ากัน
- ใส่งาขาว:
ก่อนกล้วยจะสุกเต็มที่ ใส่งาขาวลงไปในกระทะ แล้วทอดต่อจนกล้วยสุกกรอบและงาขาวเกาะกล้วยอย่างสวยงาม
- สะเด็ดน้ำมัน:
เมื่อกล้วยทอดสุกกรอบแล้ว ตักออกมาวางบนกระดาษซับน้ำมันเพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน
- จัดเสิร์ฟ:
จัดกล้วยสุกทอดลงในจานเสิร์ฟ แล้วเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมเครื่องดื่มตามชอบ
เคล็ดลับ: หากต้องการกล้วยทอดที่กรอบนาน ควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทเมื่อเย็นแล้ว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับขนมไทยภาคอีสาน
1. ขนมไทยภาคอีสานมีความแตกต่างจากขนมไทยภาคอื่นอย่างไร?
ตอบ: ขนมไทยภาคอีสานมักจะมีรสชาติหวานมันและใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติท้องถิ่น เช่น ข้าวเหนียว กะทิ และน้ำตาลมะพร้าว รวมถึงการใช้เทคนิคการทำขนมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอีสาน เช่น การย่าง การต้ม หรือการเชื่อม ขนมไทยภาคอื่น ๆ อาจมีการใช้วัตถุดิบและวิธีการที่แตกต่างออกไป เช่น ขนมไทยภาคกลางที่ใช้มะพร้าวขูดสดและการทำขนมที่หลากหลายกว่า
2. ข้าวโป่งคืออะไรและวิธีการทำเป็นอย่างไร?
ตอบ: ข้าวโป่งเป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำตาลและงาดำ ก่อนจะย่างจนกรอบและหอม วิธีทำคือ ตำข้าวเหนียวสุกกับน้ำตาลและงาดำให้เข้ากัน จากนั้นปั้นเป็นลูกกลม รีดให้แบน แล้วตากแห้งก่อนจะย่าง
3. ข้าวต้มมัดสามารถเก็บไว้ได้นานเท่าไหร่?
ตอบ: ข้าวต้มมัดสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1-2 สัปดาห์ในตู้เย็น แต่ถ้าต้องการเก็บไว้ให้นานกว่านี้ ควรแช่แข็งและสามารถเก็บได้นานถึง 2 เดือน เมื่อต้องการรับประทานให้ละลายและนึ่งใหม่
4. ขนมกระยาสารทคืออะไรและมีวัตถุดิบหลักอะไรบ้าง?
ตอบ: ขนมกระยาสารทเป็นขนมไทยที่มีรสชาติหวานมันและกรอบ มีส่วนผสมหลักคือ น้ำตาลอ้อยหรือมะพร้าว ข้าวเม่าราง ข้าวตอกคั่ว งา และถั่วลิสงคั่ว โดยมักจะนำมาผสมและปั้นเป็นก้อน
5. ขนมมะพร้าวแก้วทำจากอะไรและมีวิธีการทำอย่างไร?
ตอบ: ขนมมะพร้าวแก้วทำจากมะพร้าวขูด น้ำตาลทราย และน้ำลอยดอกมะลิ โดยจะทำการเคี่ยวมะพร้าวในน้ำเชื่อมจนเหนียวและสามารถจัดรูปทรงได้ วิธีทำคือ เคี่ยวน้ำตาลและน้ำลอยดอกมะลิจนเหนียวแล้วใส่มะพร้าวขูด คนให้เข้ากัน แล้วเทลงในถาดให้แห้ง
สรุป
การทำความรู้จักกับขนมไทยภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียงแค่การสำรวจรสชาติของขนมหวานเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ของภูมิภาคนี้อีกด้วย ขนมไทยภาคอีสานมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายและความกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้วัตถุดิบพื้นบ้านและเทคนิคการทำที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต
ข้าวโป่ง เป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียวตำละเอียดผสมกับน้ำตาลและงา ก่อนจะย่างจนกรอบ มีกลิ่นหอมและรสชาติหวานมันที่เป็นเอกลักษณ์ ข้าวต้มมัด ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียวที่ห่อด้วยใบตองและต้มจนสุก มักจะถูกนำมาเป็นอาหารท้องถิ่นที่รับประทานในโอกาสพิเศษ
ขนมกระยาสารท มีรสชาติหวานมันและกรอบจากการผสมของน้ำตาลอ้อย ข้าวเม่าราง และถั่วลิสงคั่ว การทำขนมนี้ต้องใช้เทคนิคการเคี่ยวและปั้นเป็นก้อนขนาดพอเหมาะ ขนมมะพร้าวแก้ว ซึ่งมีรสชาติหวานมันจากมะพร้าวขูดและน้ำตาลเคี่ยว ทำให้มีความเหนียวและเนียนนุ่ม
ขนมกาละแม เป็นขนมที่มีรสชาติหวานมันจากน้ำตาลโตนดและกะทิ ซึ่งต้องเคี่ยวจนเหนียวและเย็นตัว ก่อนจะตัดเป็นชิ้น ขนมนางเล็ดหรือข้าวแต๋น เป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียวปั้นแบนแล้วอบให้กรอบ ก่อนจะทอดและโรยด้วยน้ำตาล
ขนมไทยภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียงแค่ขนมหวานสำหรับรับประทาน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การเรียนรู้และทำขนมเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงรสชาติและความหลากหลายของขนมไทยภาคอีสาน แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงกับประเพณีและวิถีชีวิตของชาวอีสานที่น่าชื่นชม
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่รักในการทำอาหารหรือเพียงแค่ต้องการทดลองรสชาติใหม่ๆ ขนมไทยภาคอีสานถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและน่าลองสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานขนมหวานที่แตกต่างออกไปจากเดิม