หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารเกาหลี คุณต้องเคยได้ยินถึงเมนูกิมจิแน่นอน ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและมีประโยชน์มากมาย กิมจิได้รับการยอมรับระดับสากลว่าเป็นเมนูอาหารที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในบทความนี้เราจะลงลึกไปในกระบวนการทำกิมจิ ประวัติความเป็นมาที่หลากหลายของมัน ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการบริโภค และวิธีนำมันมาใช้ในอาหารของคุณ
ส่วนประกอบหลักของกิมจิ
นี่คือตารางที่แสดงส่วนประกอบหลักของกิมจิพร้อมปริมาณที่ใช้:
ส่วนประกอบ | ปริมาณที่ใช้ |
---|---|
ผักชนิดนาปาคะเจ | 1 ตัวใหญ่ |
พริกป่นแดง | 3 ช้อนโต๊ะ |
ขิง | 1 ชิ้นเล็ก |
กระเทียม | 6-8 กลีบ |
น้ำปลา | 2 ช้อนโต๊ะ |
กุ้งเค็มหรือน้ำลายปลาหรือน้ำเก๊กฮี | 2 ช้อนโต๊ะ |
น้ำตาล | 1 ช้อนโต๊ะ |
เกลือ | 2 ช้อนชา |
น้ำจากผัก | 1/2 ถ้วย |
โปรดทราบว่าปริมาณที่ใช้อาจมีการปรับแต่งตามรสชาติและขนาดการทำกิมจิของคุณได้
การทำกิมจิ: ขั้นตอนพื้นฐาน
การทำกิมจิมีขั้นตอนพื้นฐานที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ดังนี้:
- เตรียมส่วนประกอบ: เริ่มโดยเตรียมส่วนประกอบทั้งหมดที่ต้องใช้ เช่น ผักชนิดนาปาคะเจ พริกป่นแดง ขิง กระเทียม น้ำปลา และอื่นๆ ตามตาราง.
- ล้างผัก: ล้างผักให้สะอาด แล้วตัดเป็นชิ้นที่เหมาะกับขนาดที่คุณต้องการ โดยปกติจะเป็นชิ้นเล็กๆ หรือแบ่งเป็นสองโครง.
- ปรุงรสชาติ: นำพริกป่นแดง ขิง กระเทียม น้ำปลา กุ้งเค็มหรือน้ำลายปลา น้ำตาล และเกลือมาผสมเข้าด้วยกัน นำไปคลุกผักให้ทั่วถึง.
- หมักผัก: ใส่ผักที่คลุกแล้วลงในภาชนะ กดให้แน่นแล้วปิดฝา นำไปเก็บในที่ร่มและร้อนที่ไม่มีแสงแดด เช่น ห้องครัวหรือห้องน้ำ ประมาณ 1-2 วัน หรือจนกว่าผักจะมีรสชาติเป็นไปตามที่คุณต้องการ.
- นำไปเก็บเย็น: เมื่อผักมีรสชาติที่พอใจแล้ว นำไปเก็บในตู้เย็น เพื่อหยุดกระบวนการหมักและรักษาความสดของกิมจิ.
- เสิร์ฟ: กิมจิพร้อมที่จะเสิร์ฟแล้ว! คุณสามารถเพิ่มลูกเกด แช่เย็น หรือใช้ในอาหารที่คุณชื่นชอบได้.
กรุณาจำไว้ว่าเป็นการสร้างรสชาติและความเป็นมาของกิมจิของคุณ คุณสามารถปรับปรุงขั้นตอนตามความชอบของคุณได้
เลือกผักที่เหมาะกับการทำกิมจิ
การเลือกผักที่เหมาะกับการทำกิมจินั้นสำคัญเพื่อให้ได้รสชาติและความเป็นมาที่ดีที่สุด นี่คือรายชื่อของผักที่เหมาะกับการทำกิมจิ:
- ผักชนิดนาปาคะเจ: เป็นส่วนหลักที่ใช้ในการทำกิมจิ มีเนื้ออ่อนและนุ่ม เมื่อหมักจะมีรสชาติที่เข้มข้นและอร่อย.
- หัวกะเทียมหรือกระเทียมหัว: เพิ่มรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมให้กับกิมจิ.
- พริกป่นแดง: เพิ่มรสชาติเผ็ดและเสริมความเข้มข้นในกิมจิ.
- ขิง: ช่วยให้กิมจิมีกลิ่นหอมและรสชาติเปรี้ยวเข้มข้น.
- น้ำปลา: เป็นแหล่งความเค็มและรสชาติเสริมในกิมจิ.
- กุ้งเค็มหรือน้ำลายปลา: เพิ่มรสชาติเค็มและกลิ่นหอมให้กับกิมจิ.
- น้ำตาล: เพิ่มความหวานเบาให้กับกิมจิ ช่วยสมดุลรสชาติ.
- เกลือ: เสริมรสชาติเค็มให้กับกิมจิ.
- น้ำจากผัก: เพิ่มความรสเข้มข้นและสีสันให้กับกิมจิ.
ในการทำกิมจิคุณสามารถปรับปรุงและปรับสูตรตามความชอบเพื่อให้ได้กิมจิที่เข้ากับรสชาติและการบริโภคของคุณได้ที่ดีที่สุด
การปรุงรสสำคัญในการทำกิมจิ
การปรุงรสเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในกระบวนการทำกิมจิ เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่กำหนดรสชาติและความเข้มข้นของกิมจิ ด้วยการเลือกใช้ส่วนประกอบที่ถูกต้องและปรุงรสอย่างถูกวิธี คุณจะสามารถสร้างกิมจิที่มีรสชาติที่เข้ากับความชอบของคุณและที่มีความเป็นมาที่สมบูรณ์ได้
เมื่อเริ่มการปรุงรส การใช้พริกป่นแดงจะเป็นการเพิ่มรสเผ็ดและความเข้มข้นในกิมจิ ความเผ็ดอาจปรับได้ตามความชอบ ถ้าคุณชื่นชอบรสเผ็ดแรง คุณสามารถเพิ่มปริมาณพริกป่นแดงได้ ในขณะเดียวกัน ขิงและกระเทียมหัวจะเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติเปรี้ยวของกิมจิ การปรุงรสให้พริกป่นแดง ขิง และกระเทียมหัวผสมเข้าด้วยกันก่อนนำไปคลุกผักชนิดนาปาคะเจ นี้จะทำให้รสชาติและกลิ่นของเมนูกิมจิที่คุณทำเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอร่อยน่าทานมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การใช้น้ำปลาจะช่วยเพิ่มรสเค็มและรสชาติเสริมให้กับกิมจิ ในทางกลับกัน กุ้งเค็มหรือน้ำลายปลาที่เติมลงไปยังกิมจิจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้นในส่วนประกอบ นี่คือเหตุผลที่การปรุงรสในกิมจิเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดความเข้มข้นและความอร่อยของเมนูกิมจิที่คุณจะสร้างขึ้น
กระบวนการหมักกิมจิ
กระบวนการหมักกิมจิเป็นขั้นตอนที่สำคัญและมีบทบาทสำคัญในการสร้างรสชาติและความหอมของเมนูอาหารนี้ นี่คือกระบวนการหมักกิมจิในขั้นตอนหลักๆ:
- เตรียมส่วนประกอบ: เริ่มต้นโดยเตรียมผักชนิดนาปาคะเจและส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ต้องการ มักมีพริกป่นแดง ขิง กระเทียม น้ำปลา และอื่นๆ เข้ามาในกระบวนการ.
- คลุกผัก: ใส่ผักชนิดนาปาคะเจลงในภาชนะที่เหมาะสม แล้วเริ่มคลุกผักกับส่วนประกอบที่เตรียมไว้ ให้ทั่วถึงและเข้ากันดี ที่นี่คุณจะเห็นว่าผักจะเริ่มมีสีแดงสวยงามจากพริกป่นแดง.
- บรรจุและหมัก: นำผักที่คลุกแล้วไปบรรจุใส่ภาชนะที่มีฝาปิดเหมาะสม กดให้ผักแน่น แล้วปิดฝาให้แน่น หลังจากนั้นจึงนำภาชนะไปเก็บไว้ในที่ร่มและแห้ง การหมักจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน หรือจนกว่าจะได้รสชาติที่คุณต้องการ.
- เก็บในตู้เย็น: เมื่อกิมจิมีรสชาติที่คุณชอบแล้ว นำภาชนะไปเก็บในตู้เย็น เพื่อหยุดกระบวนการหมักและรักษาความสดของกิมจิ โดยการเก็บในตู้เย็นจะช่วยสงวนรสชาติและคุณภาพของกิมจิไว้ในระยะยาว.
- เสิร์ฟ: เมื่อกิมจิพร้อมที่จะรับประทาน คุณสามารถนำมาเสิร์ฟเป็นอาหารเพิ่มเติมหรือเพียงแค่ใช้เป็นเครื่องเคียงกับอาหารเดิมได้แล้ว กิมจิที่ได้รับการหมักอย่างถูกวิธีจะมีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมที่สุดตัว ทำให้เป็นเมนูที่อร่อยและน่าสนใจอย่างมาก
ประโยชน์สุขภาพจากการบริโภคกิมจิ
การบริโภคกิมจินั้นมีประโยชน์สุขภาพมากมายเนื่องจากรสชาติอร่อยและส่วนประกอบที่มีคุณค่าทางโภชนาการ นี่คือประโยชน์สุขภาพที่คุณจะได้รับจากการบริโภคกิมจิ:
- สุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหาร: กิมจิมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ (โปรบิโอติกส์) ซึ่งช่วยสนับสนุนระบบย่อยอาหารและการย่อยอาหารในลำไส้ การบริโภคกิมจิสม่ำเสมอจะช่วยรักษาความสมดุลและสุขภาพของลำไส้ให้ดีขึ้น.
- ระบบภูมิคุ้มกัน: กิมจิมีแลคโตฟีรินซึ่งเป็นสารช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การบริโภคกิมจิอาจช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและสามารถต่อต้านโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น.
- สารต้านอนุมูลอิสระ: กิมจิมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ การบริโภคกิมจิอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังได้.
- สารอาหารสำคัญ: ในกิมจิมีวิตามินและเครื่องแร่ต่างๆ เช่น วิตามิน ซี วิตามิน บี โอกลิก และโปแทสเซียม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การบริโภคกิมจิเป็นวิธีหนึ่งในการเพิ่มสารอาหารเหล่านี้เข้าสู่ระบบของเรา.
การบริโภคกิมจิอย่างเสถียรและมีสม่ำเสมอสามารถเพิ่มประโยชน์สุขภาพให้แก่ร่างกายของเราได้มากมาย โดยควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและควบคู่กับอาหารอื่นเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุด
กิมจิและสุขภาพลำไส้
การบริโภคกิมจิมีผลดีต่อสุขภาพลำไส้เนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในกิมจิ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหารได้ดี นี่คือประโยชน์ที่กิมจิมีต่อสุขภาพลำไส้:
จุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้: กิมจิเป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักและมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ (โปรบิโอติกส์) ซึ่งช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในลำไส้ มีความสามารถในการเรียกคืนความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่สำคัญกับกระบวนการย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน.
ปรับสมดุล pH ในลำไส้: การบริโภคกิมจิช่วยปรับสมดุล pH ในลำไส้ให้เหมาะสม สภาพลำไส้ที่เป็นกรดหรือด่างเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อการย่อยอาหารและระบบการย่อยอาหาร โปรบิโอติกส์ในกิมจิสามารถช่วยในการควบคุมสภาพนี้ได้.
ลดอาการคลื่นไส้และแน่นหน้าท้อง: กิมจิเป็นแหล่งของไซโตกินิน (tryptophan) ที่มีส่วนในการผลักหรือลดอาการคลื่นไส้ และสามารถช่วยลดอาการแน่นหน้าท้องที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางครั้ง.
สร้างการเคลื่อนไหวในลำไส้: ความเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการย่อยอาหาร และการดูแลสุขภาพลำไส้ กิมจิสามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เพื่อให้กระบวนการย่อยอาหารเกิดขึ้นได้ตามปกติ.
การบริโภคกิมจิอย่างสม่ำเสมอและในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังเป็นเมนูอาหารที่อร่อยและสร้างความพึงพอใจในการรับประทานอีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของกิมจิ
กิมจิเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นี่คือคุณค่าทางโภชนาการของกิมจิ:
- พลังงาน: 100 กรัมของกิมจิประกอบด้วยประมาณ 15-20 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับร่างกายในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน.
- โปรตีน: กิมจิมีโปรตีนประมาณ 1-2 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งมีบทบาทในการสร้างเซลล์และซ่อมแซมร่างกาย.
- คาร์โบไฮเดรต: คาร์โบไฮเดรตในกิมจิมีประมาณ 2-3 กรัมต่อ 100 กรัม มาจากส่วนประกอบของผัก ช่วยให้ได้พลังงานและรักษาความหวานในร่างกาย.
- ใยอาหาร: ใยอาหารในกิมจิมีประมาณ 2-3 กรัมต่อ 100 กรัม ช่วยเพิ่มความเป็นเห็นและส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหารในลำไส้.
- วิตามินและเครื่องแร่: กิมจิเป็นแหล่งวิตามินและเครื่องแร่ต่างๆ เช่น วิตามิน ซี วิตามิน บี โอกลิก และโปแทสเซียม ที่มีบทบาทในการรักษาสุขภาพร่างกาย.
- สารต้านอนุมูลอิสระ: กิมจิมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ทำให้เป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง.
การบริโภคกิมจิอย่างสม่ำเสมอและควบคู่กับอาหารอื่น สามารถเพิ่มประโยชน์ทางโภชนาการและสุขภาพของร่างกายได้มากมาย
วิธีนำกิมจิมาใช้ในอาหาร
การนำกิมจิมาใช้ในอาหารสามารถทำได้หลายวิธี เพื่อให้ได้รสชาติและความอร่อยที่หลากหลาย นี่คือวิธีนำกิมจิมาใช้ในอาหาร:
- กิมจิแบบดิบ: นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการบริโภคกิมจิ คุณสามารถเพียงแค่นำกิมจิมาซอยเล็กๆ แล้วรับประทานเป็นอาหารคลุ้มคลั่ง หรือใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหารต่างๆ เช่น สลัด แกง หรือน้ำซุป.
- กิมจิทอด: คุณสามารถทอดกิมจิในน้ำมันร้อนจนกรอบและสีทอง แล้วนำมาเป็นอาหารว่างหรือเครื่องเสริมในอาหารอื่นได้ เช่น กิมจิทอดกรอบเป็นเมนูวางข้างถ้วยราเมน หรือใส่ในประเภทอาหารกรอบเพื่อเพิ่มความกรอบ.
- กิมจิทอดราดซอส: นำกิมจิทอดไปราดด้วยซอสต่างๆ เช่น ซอสเครื่องเทศ ซอสชีส หรือซอสเจ เพื่อเพิ่มรสชาติและความอร่อยให้กับกิมจิ.
- กิมจิเป็นส่วนผสมในอาหาร: คุณสามารถนำกิมจิมาใช้เป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น กิมจิเป็นส่วนผสมในกับข้าวสวย เพื่อให้มีรสชาติเผ็ดและหอมขึ้น.
- กิมจิทำเป็นอาหารยำหรือสลัด: นำกิมจิมาผสมกับผักสด สลัดใบเขียว หรือวัตถุดิบอื่น เพื่อให้ได้เมนูสลัดหรืออาหารยำที่มีรสชาติสดชื่นและเผ็ดร้อน.
- กิมจิเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทเครื่องเคียง: ใช้กิมจิเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทเครื่องเคียง เช่น กิมจิทอดผสมกับเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ ในอาหารจีน เพื่อเพิ่มรสชาติและความหอม.
การนำกิมจิมาใช้ในอาหารสามารถปรับปรุงรสชาติและความอร่อยให้กับเมนูต่างๆ ตามความชอบของคุณได้อย่างสร้างสรรค์
สูตรอาหารที่นำกิมจิเข้ามาใช้
นี่คือสูตรอาหารที่นำกิมจิเข้ามาใช้เพื่อสร้างเมนูอร่อยและหลากหลาย:
- กิมจิทอดกรอบ:
- นำกิมจิมาล้างให้สะอาดและตัดเป็นชิ้นเล็กๆ โดยใช้มือหรือเครื่องตัดกิมจิ.
- ตั้งกระทะหรือหม้อให้มีน้ำมันรองพื้นให้เพียงพอ ใส่กิมจิลงไปทอดในน้ำมันร้อนจนกรอบและเหลือง.
- ตักกิมจิทอดออกมาแล้วตั้งให้ระอุพักสักครู่ เพื่อให้น้ำมันรั่วและกิมจิเป็นกรอบ.
- กิมจิเป็นส่วนผสมในสลัด:
- นำกิมจิมาล้างให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ.
- ผสมกับผักสดต่างๆ เช่น ผักสลัดใบเขียว แตงกวา และมะเขือเทศ.
- ราดด้วยซอสสลัดที่ชื่นชอบ เช่น ซอสยอดมะนาว หรือซอสราดสลัดผสมน้ำซุปต่างๆ.
- กิมจิเป็นเครื่องเสริมในอาหารจีน:
- นำกิมจิทอดกรอบมาผสมกับเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า.
- ผสมเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม และน้ำตาล ตามรสชอบ.
- ทอดหรือนึ่งเนื้อกับกิมจิพร้อมเสิร์ฟเป็นเมนูอร่อยในสไตล์อาหารจีน.
- กิมจิทำเป็นอาหารยำ:
- นำกิมจิมาต้มในน้ำเดือดจนสุก เพื่อให้กิมจิเนียนนุ่ม.
- ผสมกับเครื่องปรุงรสและวัตถุดิบอื่นๆ เช่น ต้นหอม ผักชี น้ำมะนาว และพริกขี้หนู.
- สั่งรสตามชอบเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้ากับความชอบ.
การนำกิมจิมาใช้ในสูตรอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มรสชาติที่หลากหลายและความอร่อยให้กับอาหาร ทุกสูตรสามารถปรับปรุงรสชาติและส่วนผสมตามความชอบส่วนตัวได้ เพื่อให้ได้เมนูที่ทั้งอร่อยและคุ้มค่าทางโภชนาการ
สรุป
การทำกิมจิเป็นกระบวนการที่น่าสนใจและมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการและสุขภาพ กิมจิเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมสร้างระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังเป็นเมนูอาหารที่สามารถปรับปรุงรสชาติและนำมาใช้ในหลากหลายสูตรอาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นการทอดกรอบ นำมาใช้ในสลัด หรือเป็นส่วนผสมในเมนูอื่น การบริโภคกิมจิอย่างสม่ำเสมอและควบคู่กับอาหารอื่นๆ จะเสริมสร้างสุขภาพและความอร่อยให้กับชีวิตประจำวันของเราอย่างมีคุณค่าและสุขใจ.
FAQs
กิมจิมีอะไรบ้างที่สามารถใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหารได้?
คำตอบ: คุณสามารถใช้กิมจิเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารได้หลายวิธี เช่น การทอดกรอบแล้วราดซอส นำมาผสมในสลัด หรือใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและความหอม.
มีวิธีเลือกกิมจิที่อ่อนแอหรือที่สุกมากที่สุดในการทำอาหารหรือไม่?
คำตอบ: ในการทำอาหารกิมจิควรเลือกกิมจิที่สุกและนุ่ม เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยและเส้นกิมจิที่กรอบและนุ่มพอดี สามารถประกอบอาหารได้ดี.
สามารถนำกิมจิมาใช้ในเมนูอาหารไทยได้หรือไม่?
คำตอบ: แน่นอน คุณสามารถนำกิมจิมาใช้ในเมนูอาหารไทยได้ เช่น กิมจิทอดผสมกับน้ำพริกเผา หรือใส่ในยำต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติที่เผ็ดเปรี้ยว.
การเลือกกิมจิที่ดีมีข้อใดที่ควรพิจารณา?
คำตอบ: ควรเลือกกิมจิที่มีสีสดและไม่มีรอยแผลหรือจุดเสีย เลือกเส้นกิมจิที่กรอบและไม่แห้งเกินไป เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและเส้นกิมจิที่เนียนนุ่ม.
ผลิตภัณฑ์จากกิมจิที่ได้จากการหมักเช่นน้ำเกลือและซอสกิมจิมีประโยชน์อย่างไร?
คำตอบ: ผลิตภัณฑ์จากกิมจิที่ได้จากการหมัก เช่น น้ำเกลือและซอสกิมจิ มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร และสามารถใช้ในการปรุงรสเครื่องอาหารต่างๆ ได้อย่างสะดวกและอร่อย.